วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สิ่งที่ควรรู้

บราซิลและเมืองแข่งขันฟุตบอลโลก 2014

เราจะ มาทำความรู้จักกับประเทศบราซิลเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2014 และเมืองที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลกกันมากขึ้น เราพยายามรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจสำหรับฟุตบอลโลก 2014 โดยเฉพาะ ในตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนแล้ว สำหรับศึกลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่แฟนบอลโลกต่างเฝ้ารอในทุกๆ 4 ปี การแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้นที่ประเทศบราซิล ในวันที่ 13 มิถุนายน ถึง 13 กรกฎาคม 2014

ล่าสุดเจ้าภาพบราซิลก็ได้ประกาศ 12 เมืองที่จะใช้ต้อนรับศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งแต่ละสนามก็ได้ผ่านการรับรองจาก ฟีฟ่า เรียบร้อยเช่นกัน เมืองที่ได้เข้ารับคัดเลือกเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ ได้แก่ เบโลโอรีซอนตี, บราซีเลีย, กุยาบา, กูรีตีบา, ฟอร์ตาเลซา, มาเนาส์, นาตาล, โปร์ตูอาเลเกร, เรซีฟี, รีโอเดจาเนโร, ซัลวาดอร์ และเซาเปาลู

บราซิล
บราซิลและเมืองที่ใช้แข่งขัน 
ข้อมูลพื้นฐานบราซิล
เมืองหลวง : บราซิเลีย
ภาษาทางการ : ภาษาโปรตุเกส
พื้นที่ : 8,511,965 ตารางกิโลเมตร
ประชากร : 191,241,714 คน (ปี2552)
สกุลเงิน : เรอัลบราซิล (BRL)
เขตเวลา : (UTC-3 ถึง -5 (ทางการ -3)) ช้ากว่าไทย 9 หรือ 10 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับการปรับเวลาในฤดูร้อน)
ประวัติของบราซิล

บราซิล หรือชื่อทางการว่า สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ และเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก มีพื้นที่กว้างมากระหว่างตอนกลางของทวีปอเมริกาใต้และมหาสมุทรแอตแลนติก มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศอุรุกวัย อาร์เจนตินา ปารากวัย โบลิเวีย เปรู โคลอมเบีย เวเนซุเอลา กายอานา ซูรินาเม และดินแดนเฟรนช์เกียนา - ทุกประเทศในทวีปอเมริกาใต้ ยกเว้นเอกวาดอร์และชิลี บราซิลมีแม่น้ำอะเมซอน แม่น้ำสายที่กว้างที่สุดในโลก ใหญ่ที่สุดและมีปริมาณน้ำมากที่สุด แต่มีความยาวเป็นที่สองรองจากแม่น้ำไนล์ ประชากรส่วนใหญ่จะมีวิถีชีวิตรูปแบบชาวยุโรปอย่างชัดเจน ซึ่งจะสามารถสังเกตุได้จากรูปแบบการใช้ชีวิตของคนที่นี่ ชาวบราซิลมีนิสัยรักความสนุกสนานเฮฮา และโดยส่วนใหญ่มีอัธยาศัยดี และเอื้อเฟื้อต่อชาวต่างชาติ บราซิลมีวัฒนธรรมอย่าง "คาร์นิวัล" ซึ่งเป็นเทศกาลรื่นเริงประจำปีของบราซิลก็มีนักท่องเที่ยวไปร่วมงานประมาณ 5 แสนคนต่อปีเลยทีเดียว

รีโอเดจาเนโร

รีโอเดจาเนโร 

หรือ เราเรียกสั้นๆ ว่า “ริโอ ซึ่งเป็นประตูสู่บราซิลได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่งดงามที่สุดแห่ง ”โดยถูกสร้างขึ้นบริเวณปากอ่าว โกปากาบานา ลัดเลาะชายฝั่งทะเลสู่ภูเขาคอร์โควาโด ซึ่งเป็นที่ตั้งสัญลักษณ์ของเมืองริโอ นั่นคือรูปสลักขนาดใหญ่ของพระเยซูที่สูงตระหง่านอยู่บนยอดเขา “Christ The Redeemer” (พระคริสต์ผู้ไถ่บาปแก่มนุษย์) ที่สูงถึง 38 เมตร ซึ่งมีความหมายถึงพระคริสต์ผู้ไถ่บาปให้กับชาวริโอ โดยบนจุดนี้จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของตัวเมืองได้ทั้งหมด และยังมองเห็นชายหาดชื่อดังอย่าง โคปาคาบานา และ อีปาเนมา ซึ่งว่ากันว่าเป็นชายหาดที่เซ็กซี่มากที่สุดในโลก จนได้รับขนานนามว่า "เมืองที่ยอดเยี่ยม"


สัญลักษณ์ฟุตบอลโลก 2014

ฟุตบอลโลก 2014 

สัญลักษณ์ ของการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 มีชื่อว่า อิงส์ปีราเซา ซึ่งแปลว่า "แรงบันดาลใจ" ออกแบบโดยบริษัทอาฟรีกาจากประเทศบราซิล ค้นคิดมาจากภาพถ่ายที่แสดงเชิงสัญลักษณ์ของมือผู้ชนะ 3 มือกำลังชูถ้วยรางวัลฟุตบอลโลกอยู่ นอกจากจะถ่ายทอดแนวคิดมนุษยธรรมผ่านรูปมือที่สอดประสานกันแล้ว สีในรูปมือสีเหลืองและสีเขียว ยังสื่อถึงบราซิลได้อย่างชัดเจน สัญลักษณ์นี้ได้มีการเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ที่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้


มาสคอตฟุตบอลโลก 2014

ฟูเลโก้ 

"ฟู เลโก้" เป็นมาสคอตหรือตัวนำโชคประจำการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล หลังจากได้รับคะแนนโหวตเกินกว่าครึ่งจากทั้งหมด 1.7 ล้าน ทำให้มันได้ถูกเลือกมาเป็นตุ๊กตาสัญลักษณ์ของการแข่งขันอย่างเป็นทางการโดย ฟีฟ่า สำหรับคำว่า "ฟูเลโก้" นั้นเป็นศัพท์ในภาษาโปรตุเกสที่มีความหมายว่า "futebol" (football หมายถึง ฟุตบอล) และ "ecologia" (ecology หมายถึง ระบบนิเวศน์) โดยทางฟีฟ่าเชื่อว่าการใช้สองคำที่นำมาผสมกันนี้ก็เพื่อที่จะให้แฟนบอล ตระหนักถึงสภาพแวดล้อมของโลกในปัจจุบันและพยายามรักษาสิ่งแวดล้อมกันให้มากขึ้น

 ลูกฟุตบอลโลก2014

 


 ชาว"แซมบ้า"บราซิล ได้โหวตกว่า 70% ให้ใช้ชื่อลูกฟุตบอลที่จะใช้ในศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่ได้รับเป็นเจ้าภาพว่า!อาดิดาสบราซูก้า(Adidas Brazuca) จากที่มีให้เลือกทั้งหมดสามชื่อประกอบด้วยบราซูก้า,บอสซ่า โนว่า และ คาร์นาวาเลสก้า

   โดยประชาชนชาว"แซมบ้า"บราซิล นับล้านคนได้ร่วมกันเทใจโหวตกว่า 70% ให้ใช้ชื่อลูกบอลที่จะใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล เป็นเจ้าภาพในอีกสองปีข้างหน้าว่า!อาดิดาส บราซูก้า(Adidas Brazuca) จากจำนวนที่มีให้เลือกโหวตทั้งหมด 3 ชื่อประกอบไปด้วย บราซูก้า, บอสซ่า โนว่า และ คาร์นาวาเลสก้า และทั้งหมดนี้ก็ได้รับการยืนยันจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของฟีฟ่าเรียบ ร้อยแล้ว

   แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นลูกฟุตบอลรุ่นใหม่ของอาดิดาส กำลังอยู่ในระหว่างพัฒนา ก่อนเตรียมนำไปทดสอบกับหลายสโมสรทั่วโลก และจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการก่อนศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 12 มิ.ย.-13 ก.ค. ปี 2014 ต่อไป อนึ่ง บราซูก้า เป็นชื่อที่พยายามสื่อถึงความภาคภูมิใจของชาวบราซิลในวิถีชีวิตของตัวเอง สะท้อนถึงความคลั่งไคล้ในเกมลูกหนังของผู้คนเป็นตัวแทนทางอารมณ์ความภาคภูมิ ใจและความเป็นมิตรของชาวบราซิล



สนาม

สนามที่ใช้ในการแข่งขัน


สนาม ฟอนเต้ โนว่า อรีน่า เมืองซัลวาดอร์ ความจุ 56,000 ที่นั่ง : เป็นอีกหนึ่งสนามที่ใช้ในการแข่งฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013, จะใช้แข่งขันในฟุตบอลโลก 2014 ทั้งหมด 5 นัด (รอบแบ่งกลุ่ม 4 นัด, รอบ 16 ทีมสุดท้าย 1 นัด, รอบก่อนรองชนะเลิศ 1 นัด)



สนาม เปอร์นามบูโก อรีน่า เมืองเรคิเฟ่ ความจุ 43,921 ที่นั่ง : เป็นอีกหนึ่งสนามที่ใช้ในการแข่งฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013, จะใช้แข่งขันในฟุตบอลโลก 2014 ทั้งหมด 5 นัด (รอบแบ่งกลุ่ม 4 นัด, รอบ 16 ทีมสุดท้าย 1 นัด)



สนาม ไบร่า-ริโอ สเตเดียม เมืองพอร์โต อเลกรี ความจุ 50,287 ที่นั่ง : จะใช้แข่งขันในฟุตบอลโลก 2014 ทั้งหมด 5 นัด (รอบแบ่งกุล่ม 4 นัด, รอบ 16 ทีมสุดท้าย 1 นัด)




สนาม คอรินเธียนส์ อรีน่า เมืองเซาเปาโล ความจุ 65,807 ที่นั่ง : จะใช้แข่งขันในฟุตบอลโลก 2014 ทั้งหมด 6 นัด (รอบแบ่งกลุ่ม 4 นัด, รอบ 16 ทีมสุดท้าย 1 นัด, รอบรองชนะเลิศ 1 นัด)




สนาม มาราคาน่า เมือง ริโอ เดอ จาเนโร ความจุ 76,395 ที่นั่ง : เป็น อีกหนึ่งสนามที่ใช้ในการแข่งฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013, จะใช้แข่งขันในฟุตบอลโลก 2014 ทั้งหมด 6 นัด (รอบแบ่งกลุ่ม 4 นัด, รอบ 16 ทีมสุดท้าย 1 นัด, รอบก่อนรองชนะเลิศ 1 นัด, นัดชิงชนะเลิศ 1 นัด)



สนาม คาสเตเลา อรีน่า เมืองฟอร์ตาเลซ่า ความจุ 64,846 : เป็นอีกหนึ่งสนามที่ใช้ในการแข่งฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013, จะใช้แข่งขันในฟุตบอลโลก 2014 ทั้งหมด 6 นัด (รอบแบ่งกลุ่ม 4 นัด, รอบ 16 ทีมสุดท้าย 1 นัด, รอบก่อนรองชนะเลิศ 1 นัด)


 
ไบซาด้า อรีน่า เมืองคูริติบา ความจุ 40,000 ที่นั่ง : จะใช้แข่งขันในฟุตบอลโลก 2014 ทั้งหมด 4 นัด (รอบแบ่งกุล่ม 4 นัด)



สนาม แฟนทานัล อรีน่า เมืองกูยาบา ความจุ 42,968 ที่นั่ง : จะใช้แข่งขันในฟุตบอลโลก 2014 ทั้งหมด 4 นัด (รอบแบ่งกุล่ม 4 นัด)



 
สนาม ดูนาส อรีน่า เมือง นาทัล ความจุ 42,086 ที่นั่ง : จะใช้แข่งขันในฟุตบอลโลก 2014 ทั้งหมด 4 นัด (รอบแบ่งกุล่ม 4 นัด)




สนาม อเมซอเนีย อรีน่า เมืองมานาอัส ความจุ 42,377 ที่นั่ง : จะใช้แข่งขันในฟุตบอลโลก 2014 ทั้งหมด 4 นัด (รอบแบ่งกุล่ม 4 นัด)



สนาม เอสตาดิโอ มิไนเรา เมืองเบโล ฮอริซอนเต้ ความจุ 62,547 ที่นั่ง : เป็นอีกหนึ่งสนามที่ใช้ในการแข่งฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013, จะใช้แข่งขันในฟุตบอลโลก 2014 ทั้งหมด 6 นัด (รอบแบ่งกลุ่ม 4 นัด, รอบ 16 ทีมสุดท้าย 1 นัด, รอบรองชนะเลิศ 1 นัด)



สนาม เนชั่นนัล มาเน่ การ์รินช่า สเตเดียม เมืองบราซิเลีย ความจุ 76,935 ที่นั่ง : เป็นอีกหนึ่งสนามที่ใช้ในการแข่งฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013จะใช้แข่งขันทั้งหมด 7 นัด (รอบแ่บ่งกลุ่ม 4 นัด, รอบ 16 ทีม 1 นัด, รอบก่อนรองชนะเลิศ 1 นัด, ชิงที่อันดับที่สาม 1 นัด)






วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประเทศฝรั่งเศส

ผลงานที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
แชมป์โลก (1998)

ถึงจุดหนึ่ง ฝรั่งเศสอยู่ในสถานะที่ทำท่าว่าจะไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกนับตั้งบแต่ปี 1994 เสียแล้ว หลังจากจบรอบคัดเลือกที่อันดับสอง ด้วยการเป็นรองสเปน ในกลุ่มไอ ทัพเลส์ เบลอส์ ต้องเจอกับคืนหฤโหดที่เคียฟ ด้วยการแพ้ต่อยูเครน 0-2 ในเลกแรกของรอบเพลย์ออฟ นัดนั้นทำเอานักวิเคราะห์วิจารณ์เมืองน้ำหอมทั้งหลายต้องโชว์ฝีปากกันยกใหญ่ โดยได้ข้อสรุปที่ว่านักเตะเฟร้นช์หลายคนขาดความทุ่มเทในการเล่น จนมาถึงเกมเลกสองที่ปารีส โค้ช ดีดิเย่ร์ เดส์ชองส์ ทำการเปลี่ยนตัวจริงบางตำแหน่ง แล้วมันก็เห็นผล พวกเขากลับมาเป็นฝ่ายเอาชนะ 3-0 ตีตั๋วสำเร็จ
การไม่ได้ไปเล่นที่บราซิล 2014 จะถือเป็นจุดตกต่ำสุดๆ ของชาติที่ทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานมาตลอดในทัวร์นาเมนต์หลังๆ ตั้งแต่เวิลด์ คัพ 2006 ที่การกลับมาของ ซีเนดีน ซีดาน เกือบจะพาทีมคว้าแชมป์โลกสมัยที่สอง ล่าสุดในฟุตบอลโลก 2010 กลายเป็นว่าทีมตราไก่ล้มเหลวเป็นอย่างยิ่งจากการต้องตกรอบโดยที่ไม่สามารถ ชนะใครได้เลย การจบด้วยรอบก่อนรองชนะเลิศในศึกยูโร 2012 ก็ถือว่าพอเป็นตัว กอบกู้ได้บ้าง กับการที่ทีมชุดนี้ต้องถูกบดบังด้วยรัศมีที่ทรงอานุภาพของทีมชุดแชมป์โลก 1998
ตลอดรอบคัดเลือก สิ่งที่พอจะดูเป็นภาพลักษณ์ที่ดีไม่แพ้ใครให้กับฝรั่งเศสก็เห็นจะเป็น ฟร้องค์ ริเบรี่ ซึ่งฟอร์มอันสุดยอดของเขากับ บาเยิร์น มิวนิค ก็ทำให้เจ้าตัวคว้ารางวัลนักเตะที่ดีที่สุดในยุโรปของยูฟ่า เมื่อเดือนสิงหาคม และบรรดาประตูที่เขายิงได้ในทีมชาติ ก็เป็นสิ่งที่มาทดแทนสภาวะปืนฝืดของ คาริม เบนเซม่า ได้เป็นอย่างดี จอมหนึบอย่าง อูโก้ โยริส ก็เป็นอีกคนที่รักษามาตรฐานได้คงเส้นคงวา ขณะที่การแจ้งเกิดของ ราฟาแอล วาราน เซนเตอร์แบ็ก และมิดฟิลด์ ปอล ป็อกบา ก็แสดงให้เห็นว่าตราไก่มีอนาคตที่สดใสรออยู่
ปัญหาเรื่องการยืนระยะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม เกมสองนัดในรอบเพลย์ออฟกับยูเครน ก็ได้สะท้อนให้เห็นทั้งในด้านดี และด้านแย่ของฝรั่งเศสไปหมดแล้ว ความท้าทายอีกอย่างของเดส์ชองส์ คือการต้องสรรหา 11 ตัวจริงที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาให้ได้ และต้องมั่นใจว่าเขาเลือกนักเตะถูกคนไปใช้งานที่บราซิล 

กุนซือ ดีดิเย่ร์ เดส์ชองส์
อดีตกองกลางตัวรับรายนี้ คือกัปตันทีมชาติฝรั่งเศส ชุดที่คว้าแชมป์โลกปี 1998 หลังจากแขวนสตั๊ด เขาก็ผันตัวมาเป็นเทรนเนอร์ และพาทีมโมนาโกทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ในปี 2005 จากนั้นก็ไปเป็นโค้ชให้กับทีมใหญ่ๆ ทั้งยูเวนตุส และโอลิมปิก มาร์กเซย ก่อนจะมารับงานคุมทีมตราไก่ในเดือนกรกฎาคม 2012 

กัปตัน อูโก้ โยริส
นายประตูมากความสามารถ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมชาติโดย โลร็องต์ บล็องก์ ก่อนถึงศึกยูโร 2012 และยังสวมปลอกแขนเรื่อยมาจนถึงยุคของ ดีดิเย่ร์ เดส์ชองส์ หลังจบทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว โยริสก็ย้ายจากโอลิมปิก ลียง มาเฝ้าเสาให้ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ที่เขาสามารถรั้งมือหนึ่งได้อย่างเหนียวแน่น มือกาวเฟร้นช์แมน ยังยืนเป็นด่านสุดท้ายให้ทีมตราไก่ ในฟุตบอลโลก 2010 และหวังที่จะทำให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมที่บราซิล 2014 

คีย์แมน ฟร้องค์ ริเบรี่
ปีกจอมทักษะ ยืนยงเป็นสตาร์เบอร์ 1 ของฝรั่งเศสมาอย่างยาวนาน ซึ่งในซีซั่นหลังๆ ดูเหมือนว่าเขาจะยกระดับตัวเองขึ้นไปได้อีก จนสามารถเทียบชั้นสตาร์แนวหน้าของวงการอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ ลิโอเนล เมสซี่ ได้แล้ว อดีตดาวเตะโอลิมปิก มาร์กเซย เป็นหนึ่งในนักเตะหน้าใหม่ของทัพ เลส์ เบลอส์ ในเวิลด์ คัพ 2006 ที่เยอรมัน แล้วจากนั้นก็ย้ายไปประสบความสำเร็จเป็นกอบเป็นกำกับ บาเยิร์น มิวนิค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 แชมป์เมื่อซีซั่นที่แล้ว ริเบรี่อายุ 30 ปีแล้ว ซึ่งตอนนี้เขาก็กำลังอยู่ในฟอร์มระดับท็อปของอาชีพค้าแข้ง และจะเป็นหนึ่งในนักเตะที่น่าจับตามองที่บราซิลกลางปีนี้ 

ดาวรุ่ง ปอล ป็อกบา
ทั้งทรงพลัง และมีจังหวะในการเล่นที่ดีเยี่ยม ป็อกบาดูจะเป็นความหวังของฝรั่งเศสในระยะยาวอย่างแท้จริง ตั้งแต่ย้ายออกจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2012 เขาก็กลายเป็นกุญแจสำคัญในทีมยูเวนตุส แชมป์ลีกอิตาเลียน และตอนนี้ก็เป็นนักเตะตัวหลักในทีมตราไก่ไปเรียบร้อยแล้วด้วย ด้วยอายุเพียง 20 ปี ห้องเครื่องเฟร้นช์แมนก็สามารถเทียบชั้นนักเตะชั้นนำในยุโรปได้แบบสบายๆ แล้ว


ประเทศอุรุกวัย

นักเตะหลัก
หลุยส์ ซัวเรซ (ลิเวอร์พูล)


ผลงานที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
แชมป์โลก (1930, 1950)

ชัยชนะของอุรุกวัยเหนือชาติเจ้าภาพอย่างบราซิล ในเกมชิงชนะเลิศอันสุดตื่นเต้นของฟุตบอลโลก 1950 ถือเป็นการพลิกล็อกครั้งใหญ่ที่สุดนัดนึงในประวัติศาสตร์เวิลด์ คัพ มาหนนี้พวกเขายังต้องพบกับชะตากรรมเดิมๆ ในการเล่นรอบคัดเลือก นั่นคือความจวนเจียนที่เกือบจะทำให้ไม่ได้ไปบราซิล 2014 อยู่แล้ว แต่สุดท้ายทีมแชมป์โลก 2 สมัย ก็ลงเอยด้วยการฉลองอีกจนได้
ออสการ์ ตาบาเรซ กุนซือของทีม มีความเชื่อมั่นอันแรงกล้าในบรรดาตัวนักเตะชุดที่ช่วยให้อุรุกวัยไปไกลถึง รอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลก 2010 รวมถึงการซิวแชมป์โคปา อเมริกา ในปีถัดมา ตัวเก๋าอย่าง ดีเอโก้ ลูกาโน่ หรือ ดีเอโก้ ฟอร์ลัน ยังคงมีบทบาทสำคัญในทีมอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ตาม
จากการมีทั้ง ฟอร์ลัน, เอดินสัน คาวานี่ และ หลุยส์ ซัวเรซ ทำให้อุรุกวัยถือเป็นทีมที่มีศักยภาพในแนวรุกที่สูงที่สุดทีมนึงในรายการนี้ เลย คาวานี่ อาจจะเคยมีปัญหาเรื่องการยิงประตูในทีมชาติไม่ค่อยได้ในสมัยก่อน แต่ช่วงหลังมานี้เขาก็ได้พัฒนาตรงจุดนั้นอย่างดีเยี่ยม ขณะที่ ซัวเรซ ก็ถือเป็นฝันร้ายของปราการหลังทุกรายอยู่แล้ว โดยอุรุกวัยมักจะใช้การเล่นระบบ 3-4-3 หรือ 4-3-3 แต่ก็จะมีบ้างที่เปลี่ยนมาเป็น 4-4-2 ในช่วงครึ่งหลังของรอบคัดเลือก แม้จะมีการเล่นที่ไม่ได้สวยงามเท่าไหร่ แต่ความยืดหยุ่นของนักเตะ และระบบนี่แหละ ที่มันบ่งบอกว่าทีมของพวกเขาถูกสร้างขึ้นเพื่อบอลทัวร์นาเมนต์
โดยเฉพาะ 

กุนซือ ออสการ์ ตาบาเรซ
กุนซือจอมพเนจรวัย 67 ปี เข้ามารับงานคุมทีมอุรุกวัยเป็นครั้งที่สอง เมื่อเดือนมีนาคม 2006 และยังได้รางวัลโค้ชยอดเยี่ยมแห่งปีของอเมริกาใต้ถึงสองปีซ้อน จากการพาทีมจอมโหดมีผลงานยอดเยี่ยมในเวิลด์ คัพ 2010 และตำแหน่งแชมป์โคปา อเมริกา 2011


วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประเทศเยอรมนี

เยอรมนี (แชมป์กลุ่มซี รอบคัดเลือก)

ผลงานที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
แชมป์โลก (1954, 1974, 1990)

ซัมเมอร์นี้ ทีมอินทรีเหล็กจะเดินทางไปลงแข่งขันในศึกเวิลด์ คัพ เป็นครั้งที่ 18 พวกเขาเป็นรองแค่ชาติเจ้าภาพอย่างบราซิลทีมเดียวเท่านั้น สำหรับสถิติการปรากฏตัวในรอบสุดท้าย ทีมของ โยอัคคิม เลิฟ ตบเท้าผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายหนนี้ได้อย่างน่าประทับใจเช่นเคย ด้วยการเป็นหนึ่งในทีมที่มีแต้มเยอะที่สุดของโซนยุโรป หลังจากผ่านรอบคัดเลือกในฐานะแชมป์กลุ่ม ที่มีทั้งสวีเดน, ไอร์แลนด์, ออสเตรีย, หมู่เกาะแฟโร และคาซัคสถาน เป็นคู่ต่อสู้
เยอรมันยังคงรักษาสถิติดีที่สุดในโลกของการเล่นรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกเอา ไว้ได้ หนนี้ 10 เกม ไม่แพ้ใคร ส่งผลให้พวกเขาแพ้เพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น จากทั้งหมด 82 เกม ที่เคยเล่นมาในรอบคัดเลือก แค่ดูสถิติตรงนี้ ทำให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือหนึ่งในทีมเต็งแชมป์ที่บราซิลกลางปีนี้ ทีมเมืองเบียร์ยังสร้างสถิติในการผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้ 12 ครั้ง ตั้งแต่ลงเล่น เวิลด์ คัพ ครั้งแรกเมื่อปี 1934 โดยเคยคว้าแชมป์โลกมาแล้วทั้งในปี 1954, 1974 และ 1990
ความคาดหวังอันหนักหน่วงยังคงถาโถมเข้าใส่ทีมอินทรีเหล็กชุดนี้ ที่น่าจะมีนักเตะดาวรุ่งทะยานขึ้นมาสร้างชื่อได้เยอะที่สุดแล้วในรอบหลายปี หลัง เยอรมันส่งนักเตะชุดที่มีอายุน้อยที่สุดลงเล่นในฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ และยังมีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นเดิมที่บราซิล ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา นักเตะที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์อย่างเช่น บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, ฟิลิปป์ ลาห์ม, มิโรสลาฟ โคลเซ่, มานูเอล นอยเออร์, เมซุต โอซิล, โธมัส มุลเลอร์ และ ซามี่ เคดิร่า ถูกผสมผสานอย่างลงตัวด้วยดาวรุ่งทีขึ้นมาใหม่อย่าง มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์, อิลคาย กุนโดกัน, มาริโอ เกิทเซ่, มาร์โค รอยส์ และ ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ เพื่อที่จะทำให้เยอรมันกลับมาแข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่ปี 1990
ตั้งแต่เสร็จสิ้นภารกิจใน เวิลด์ คัพ 2010 เลิฟก็พยายามนำเอาระบบการเล่นที่คุ้นเคย 4-2-3-1 มาแก้ไขปรับปรุงให้ไฉไลกว่าเดิม ทีมยังคงรักษาสไตล์ในการเล่นเกมรุกที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ โดยมี ชไวน์สไตเกอร์กับเคดิร่าคอยคุมเกมตรงกลางสนาม แล้วให้รอยส์, โอซิล และ มุลเลอร์ เป็นตัวสนับสนุนกองหน้าตัวเป้าอย่างโคลเซ่

กุนซือ โยอัคคิม เลิฟ
ฟุตบอลโลก 2014 จะเป็นทัวร์นาเมนต์ระดับชาติหนที่ 4 แล้ว ที่เลิฟคุมทีมอินทรีเหล็กตั้งแต่เข้ามาแทนที่ เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ หลังจบ เวิลด์ คัพ 2006 เขาได้ปรุงแต่งให้เยอรมันเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้น่าตื่นเต้นที่สุดทีมหนึ่ง ของโลก และยังปั้นดาวรุ่งขึ้นมาสร้างชื่อในระดับทีมชาติอีกหลายราย

กัปตัน ฟิลิปป์ ลาห์ม
ฟูลแบ็กร่างเล็กเฉลิมฉลองการลงเล่นนัดที่ 100 ให้กับทีมชาติไปแล้ว ระหว่างการช่วยทีมทำศึกในรอบคัดเลือก และกำลังอยู่ในช่วงที่มีฟอร์มการเล่นที่ดีแบบคงเส้นคงวามากที่สุดในอาชีพของ เขาเองด้วย เขาคือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ บาเยิร์น มิวนิค คว้า 3 แชมป์ในซีซั่น 2012/13 และได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะเยอรมันที่รักษามาตรฐานฟอร์มยอดเยี่ยมได้ดี ที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา ลาห์ม ยังได้รับการนับถืออย่างล้นหลามจากเพื่อนร่วมทีม และคนอื่นๆ ในวงการฟุตบอล ในเรื่องของความเป็นมืออาชีพ และผลงานในสนามที่ทรงประสิทธิภาพ เขาคือแบ็กขวาตัวหลักของทีมอินทรีเหล็กตลอดการเล่นรอบคัดเลือก และยังสามารถโยกไปเล่นแบ็กซ้าย หรือมิดฟิลด์ได้ยามที่ทีมต้องการ

คีย์แมน เมซุต โอซิล
ตั้งแต่ประเดิมสนามในนามทีมชาติเมื่อปี 2009 โอซิลก็กลายเป็นจุดศูนย์กลางในทีมเยอรมันเสมอมา เขาเป็นตัวขับเคลื่อนชั้นดีในยุคของ โยอัคเคิม เลิฟ และการเล่นเกมรุกส่วนใหญ่ของทีมอินทรีเหล็กก็มักจะต้องผ่านเขาโดยตรง ด้วยวัยเพียง 25 เพลย์เมกเกอร์จอมเทคนิคทำได้ถึงเลขสองหลักแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการยิง หรือการป้อนบอลให้เพื่อนทำประตูในทีมชาติ และในระดับสโมสร ก็ไม่มีนักเตะคนไหนจาก 5 ลีกใหญ่ที่มีอัตราการแอสซิสต์เทียบเท่าโอซิลใน 5 ซีซั่นที่ผ่านมา แน่นอนว่าเยอรมันจะต้องพึ่งพาความสามารถอันใหญ่หลวงของเขาใน เวิลด์ คัพ ที่บราซิล

ดาวรุ่ง มาริโอ เกิทเซ่
ว่ากันว่า เกิทเซ่เป็นดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดของเยอรมันแล้ว เมื่อปี 2010 เขากลายเป็นนักเตะอายุน้อยสุด ที่ได้ลงเล่นให้ทีมชาติ เป็นการทำลายสถิติของ อูเว่ ซีเลอร์ ที่ยืนยาวมาตั้งแต่ปี 1954 ในปีถัดมา หลังจากที่เขาได้ลงตัวจริงนัดแรกให้เยอรมัน เขาก็กลายเป็นนักเตะอายุน้อยสุดอันดับ 4 ที่ยิงประตูในทีมชาติได้ และถือเป็นนักเตะอายุน้อยสุด ที่ยิงประตูให้ทีมชาติได้ในรอบเกือบศตวรรษ โยอัคเคิม เลิฟ ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจต่อเขาบ่อยครั้ง ให้ออกสตาร์ตในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า และไม่แน่ในบราซิล 2014 เกิทเซ่อาจจะได้รับบทบาทสำคัญถาวรในทีมก็เป็นได้


ประเทศเบลเยียม

เบลเยียม (แชมป์กลุ่มเอ รอบคัดเลือก)

นักเตะหลัก
แวงซองต์ กามปานี (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)


ผลงานที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
อันดับ 4 (1986)

เบลเยียมอาจจะไม่ได้ผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย นับตั้งแต่ เวิลด์ คัพ 2002 หรือผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลยูโรตั้งแต่ปี 2000 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพร่วม แต่ทีมยุคทองชุดปัจจุบันของพวกเขา ดูพร้อมเหลือเกินที่จะโยนเรื่องพวกนั้นให้เป็นอดีตที่ไม่สำคัญอีกต่อไป
หลังจากที่สมาคมฟุตบอลเบลเยียมได้มีการเน้นการโฟกัสที่ระบบพัฒนาเยาวชน มากเป็นพิเศษตั้งแต่กว่าทศวรรษที่แล้ว และตัดสินใจให้มีมาตรการว่าทีมทุกระดับจะต้องเล่นด้วยระบบ 4-3-3 ที่เน้นความรวดเร็ว และมีความยืดหยุ่นสูง ทำให้ความท้าทายของ มาร์ค วิลม็อตส์ โค้ชคนปัจจุบัน ก็คือการต้องใช้เหล่าผู้เล่นอันเปี่ยมด้วยทักษะทั้งหลาย ให้หลอมรวมกันอย่างลงตัวให้ได้
สมาชิกในทีมหลายคนเคยเล่นร่วมกันมาตั้งแต่ในชุดที่ไปได้อันดับ 4 โอลิมปิกเกมส์ ที่ปักกิ่งเมื่อปี 2008 ตอนนี้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในทีมที่มีมูลค่าค่าตัวของนักเตะรวมกันมากที่สุด ของโลกไปแล้ว และมันทำให้เบลเยียมผันตัวเองมาเป็นเครื่องจักรผลิตชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง ในรอบคัดเลือก
ด้วยแผงมิดฟิลด์ทรงอานุภาพที่นำโดยความสร้างสรรค์ของ เอแด็น อาซาร์ และ เควิน เดอ บรอยน์ บวกกับความแข็งแกร่งของนักเตะอย่าง มุสซ่า เดมเบเล่ รวมถึง มารูยาน เฟลไลนี่ ทีมปีศาจแดงแห่งยุโรปจึงได้รับการคาดหมายอย่างหนักหน่วง หลังจากหลายปีที่ไม่ประสบความสำเร็จ ถึงเวลาแล้วที่เบลเยียมจะได้ตั้งเป้าหมายระดับสูงในการลงเล่นรายการเมเจอร์ เสียที

กุนซือ มาร์ค วิลม็อตส์
นี่คือเจ้าของสถิติยิงประตูสูงสุดตลอดกาลในฟุตบอลโลกของเบลเยียม วิลม็อตส์เคยผ่านการเล่นในศึก เวิลด์ คัพ มาแล้วเมื่อปี 1994, 1998 และ 2002 เขาเริ่มจับงานคุมทีมเป็นครั้งแรกกับ ชาลเก้ 04 เทรนเนอร์วัย 44 ปี ได้รับมอบหมายให้เข้ามาเป็นผู้ช่วยโค้ชของทีมชาติในปี 2009 ก่อนจะขึ้นกุมบังเหียนเต็มตัวในเดือนมิถุนายน 2012


วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประเทศเนเธอร์แลนด์

ดาวเด่น: อาร์เยน ร็อบเบน

บอลโลกที่ผ่านมา: 1938 (รอบแรก)  1974 (รองชนะเลิศ)  1978 (รองชนะเลิศ)  1990 (รอบ 2)  1994 (รอบก่อนรองชนะเลิศ)  1998 (อันดับ 4)  2006 (รอบ 2) 2010  (รองชนะเลิศ)
เส้นทางสู่บอลโลกบราซิล


เส้นทางสู่บอลโลกบราซิล: อดีตรองแชมป์ 3 สมัย (1974, 1978, 2010) ทีมอันดับ 8 โลก เข้ารอบมาในฐานะแชมป์กลุ่มตามคาดอีกเหมือนกัน เพราะอยู่ในสายอ่อน ลงแข่ง 10 นัด ชนะ 9 เสมอ 1 ไม่เคยแพ้ใคร ทำได้ 34 เสีย 5 ประตู มี 28 แต้ม ได้เล่นในรอบสุดท้ายเป็นสมัยที่ 10 ซึ่งในครั้งนี้ ทีมรองแชมป์เก่า ตั้งเป้าเข้าชิงเพื่อคว้าแชมป์สมัยแรกให้ได้ แต่ต้องลุ้นหนักพอสมควรทีเดียว
ฮอลแลนด์ ซึ่งนิกเนมว่า "ออรันเย่" จากสีเสื้อส้มสดใสของพวกเขา กลายเป็นทีมแรกของทวีปยุโรปที่ตีตั๋วผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก 2014 ทัพดัตช์คว้าแชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือกอย่างสบายๆ ตั้งแต่ขณะที่ยังเหลืออีกสองเกมให้ลงแข่ง ถึงตอนนี้พวกเขามองไปที่ความต่อเนื่องในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว เพราะนักเตะหลายคนจากชุดที่ไประเบิดฟอร์มในเวิลด์ คัพ 2010 ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งทั้ง โรบิน ฟาน เพอร์ซี่, เวสลี่ย์ สไนเดอร์, ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท และ อาร์เยน ร็อบเบน ยังคงมีความสำคัญต่อทีมในชุดปัจจุบันเทียบเท่าชุดเมื่อสี่ปีก่อน
อย่างไรก็ตาม การรีเทิร์นสู่เก้าอี้กุนซือทีมอัศวินสีส้มของ หลุยส์ ฟาน กัล ได้เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในช่วงที่มีนักเตะหน้าใหม่หลายรายได้ก้าวขึ้นสู่ทีมชาติ การคุมทีมคำรบสองของเขาในครั้งนี้เปรียบเสมือนการเข้ามาเปลี่ยนโครงสร้าง ใหม่ ด้วยการใช้ดาวรุ่งอนาคตไกลได้มีโอกาสเปิดตัวในทีมชุดใหญ่ ฟาน กัล ซึ่งเป็นโค้ชที่ดีกรีเพียบพร้อมที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังดัตช์ ไม่เคยอุบไต๋ว่าฟุตบอลในยุคของเขาควรจะต้องเล่นอย่างไร "เคเอ็นวีบี (สมาคมฟุตบอลดัตช์) ให้ภารกิจกับผมมาอย่างแจ่มแจ้ง ว่าจะต้องเล่นฟุตบอลแบบ 'ดัตช์ สกูล' ด้วยคุณภาพของทีมชุดนี้เราทำได้แน่นอน" เขากล่าว หลังได้รับแต่งตั้ง
ฟุตบอลในรูปแบบที่เขาพูดถึงก็คือการเล่นในยุคต้นแบบของอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ที่ถูกพัฒนาโดย ไรนุส มิเชลส์ ไอดอลของ ฟาน กัล ในช่วงกลางทศวรรษ 60 นั่นเอง ด้วยวิธีเน้นการทำเกมแบบสร้างสรรค์ และฉลาด ในระบบ 4-3-3 ที่ทั้งมั่นใจ และไหลลื่น แน่นอนว่ามันต้องขับเคลื่อนด้วยการครองบอล โดยจะมีการเพรสซิ่งในแดนหน้า และสิ่งสำคัญเลยก็คือลูกบอลจะต้องเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ส่วนในแดนหลังก็เป็นอาวุธในการป้องกัน หมายความว่าถ้าเจอสูตรนี้เข้าไป คู่แข่งก็จะเหนื่อย และเปิดพื้นที่ให้แข้งดัตช์ได้โจมตีง่ายขึ้น

เป้าหมายของเคเอ็นวีบี คือการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ "นั่นมันยิ่งเป็นไปได้แน่นอน" ฟาน กัล มั่นใจ "เราสามารถเป็นทีมที่ดีที่สุดในฟีฟ่า เวิลด์ คัพได้ ถ้าเราเกาะกลุ่มกันไว้ เราอาจจะไม่มีนักเตะเก่งๆ เท่าทีมอื่น แต่เมื่อรวมกันเป็นทีม เราสามารถไปได้ไกลแน่"

กุนซือ     หลุยส์ ฟาน กัล
เทรนเนอร์รายนี้สร้างชื่อขึ้นมาจากการคุมทีมอาแจ็กซ์ โดยคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 1995 และจากนั้นก็ย้ายมาโด่งดังมากขึ้นกับบาร์เซโลน่า การคุมทีมออรันเย่หนแรกของเขาจบลงหลังจากที่ทำทีมอดไปเล่นฟุตบอลโลก 2002 ก่อนจะระหกระเหินไปกู้ชื่อเสียงของตัวเองมาใหม่กับอาแซ่ด อัลค์มาร์ และบาเยิร์น มิวนิค

กัปตัน     โรบิน ฟาน เพอร์ซี่
เมื่อเดือนมิถุนายน ก่อนที่ทีมดัตช์จะต้องไปเตะอุ่นเครื่องกับอินโดนีเซีย ที่กรุงจาการ์ตา ฟาน เพอร์ซี่ ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันคนใหม่ ด้วยการรับหน้าที่นี้ต่อจาก เวสลี่ย์ สไนเดอร์ ภาระความรับผิดชอบครั้งใหม่ของเขา ยิ่งทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นไปอีก "ก่อนหน้านี้ไม่นาน โค้ชพูดอะไรบางอย่างกับผมชนิดที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิตตั้งแต่เล่น ฟุตบอล บอกว่าผมคือหนึ่งในพวกที่แก่สุดของทีมแล้วนะ" อาร์วีพี เผย ก่อนเกมรอบคัดเลือกที่จะเปิดบ้านพบกับโรมาเนียคีย์แมน     อาร์เยน ร็อบเบน

คีย์แมน     อาร์เยน ร็อบเบน
ปีกผมน้อยยังคงเป็นนักเตะที่เล่นได้เหมือนกับช่วงที่ยังเป็นวัยรุ่น และเป็นหนึ่งในคนที่ฮอลแลนด์ฝากความหวังในเกมรุกไว้มากสุด ความเก่งของเขาก็คือการที่สามารถกระชากบอลมาสร้างความอันตรายได้ จากจังหวะที่เหมือนจะไม่มีอะไรเลย ด้วยวิธีลากตัดจากริมเส้นฝั่งขวาเข้ามา ประตูชัยที่เขาทำได้ในเกมที่พาบาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัย 5 เมื่อปี 2013 คือการยุติฝันร้ายในนัดชิงชนะเลิศครั้งที่ผ่านๆ มาของเจ้าตัว โดยเฉพาะการพลาดลูกที่ได้ดวลตัวต่อตัวกับ อีเกร์ กาซียาส ในเวิลด์ คัพ 2010 ท้ายที่สุดแล้ว ยังไง ร็อบเบน ก็คือฝันร้ายของบรรดากองหลังชัดๆ

ดาวรุ่ง     อดัม มาเฮอร์
นี่คือดาวรุ่งที่ฉายแววเจิดจรัสที่สุดในยุคของ หลุยส์ ฟาน กัล ดาวเตะพรสวรรค์สูง แจ้งเกิดจากการเป็นนักเตะของอาแซ่ด อัลค์มาร์ และตอนนี้ก็ย้ายมาเล่นให้พีเอสวี มาเฮอร์ ได้รับรางวัลนักเตะพรสวรรค์แห่งปี 2012 ซึ่งเขาก็ยังพัฒนาจุดแข็งของตัวเองมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน เทคนิคการอ่านเกมของเขามีสไตล์ที่ละม้ายคล้ายคลึง อันเดรส อิเนียสต้า ด้วยวิธีการใช้ความเป็นธรรมชาติ, ความเร็ว, สองเท้าที่แคล่วคล่อง, ความดุดัน และมันสมองมาเป็นอาวุธหลัก