วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ประเทศโคลัมเบีย

โคลัมเบียอาศัยการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการระหว่างรอบคัดเลือก จนทำให้ทีมผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1998
การจากไปของ เลโอเนล อัลบาเรซ กุนซือชาวโคลอมเบีย หลังจากผ่านไปแค่ 3 นัดบ่งบอกว่ารอบคัดเลือกโซนอเมริกาใต้ที่หนักหนาสาหัส อาจจบลงด้วยความผิดหวังอีกครั้ง ทว่าการพลิกสถานการณ์ของยอดโค้ชชาวอาร์เจนไตน์ อย่างโฮเซ เปเกอร์มัน ทำให้พวกเขาจบอันดับสองของรอบคัดเลือกด้วยการเป็นอันดับสองรองเพียงอาร์เจนตินาทีมเดียวเท่านั้น
อัลวาเรซ ค่อนข้างจะระมัดระวังในการจัดทีมตั้งแต่นัดแรก เมื่อเขาตัดสินใจพักกองหน้าดาวดังของทีมอย่าง ราดาเมล ฟัลเกา ไว้ที่ม้านั่งสำรองข้างสนามในเกมพบกับ โบลิเวีย โดยส่ง เทโอ กูเตียร์เรซ คืนค้ำเป็นหอกเดี่ยวในแดนหน้า
โดเรียน ปาบอน ยิงประตูปลดล็อคให้โคลอมเบียเป็นฝ่ายขึ้นนำไปก่อน แต่ประตูตีเสมอของโบลิเวีย จาก วอลเตอร์ ฟลอเรส ในช่วงท้ายเกมทำให้ อัลวาเรซ จำเป็นต้องส่ง ฟัลเกา ลงมาล่าตาข่าย และสามารถซัดประตูให้ทีมเอาชนะไปได้อย่างเฉียดฉิวในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
แฟรงค์ เฟลท์เชอร์ ช่วยให้เวเนซูเอลาไล่ตามตีเสมอ 1-1 ในเกมในบ้านนัดแรกของ โคลอมเบีย หลัง เฟรดดี กวาริน ซัดประตูเบิกร่องให้เจ้าถิ่นขึ้นนำตั้งแต่ต้นเกม และเกมนัดต่อมาที่โดนอาร์เจนตินาพลิกแซงชนะก็เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ อัลวาเรซ ต้องตกงาน


เกมนั้นโคลอมเบียขึ้นนำไปก่อนจากฟรีคิกของ ปาบอน ที่ยิงไปแฉลบฮาเวียร์ มาสเคราโน เข้าไปตุงตาข่าย แต่เสียงเชียร์ในสนาม เอสตาดิโอ เมโทรโปลิโน โรเบิร์ต เมเลเนซ ก็แทบเงียบสนิท เมื่อ ลีโอเนล เมสซี และ เซร์คิโอ อเกวโร มายิงคนละประตูในช่วงครึ่งเวลาหลังให้ทัพฟ้าขาวพลิกแซงเอาชนะไปได้
อย่างไรก็ตามสนามในเมืองบารันกียา ก็กลับมาเป็นที่มั่นของโคลอมเบียอย่างรวดเร็ว เมื่อ เปเกอร์มัน สามารถพาทีมคว้าชัยได้ถึง 5 เกม จาก 6 นัดต่อมาในรอบคัดเลือก
เปเกอร์มัน เริ่มต้นเกมในบ้านด้วยการไล่ถลุงอุรุกวัยไปอย่างย่อยยับ 4-0 ฟัลเกายิงประตูให้เจ้าถิ่นขึ้นนำไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีที่ 2 ของเกม ก่อนที่ กูเตียร์เรซ คู่หูในแดนหน้าจะมาซัดคนเดียวสองประตูในช่วงครึ่งเวลาหลัง โดยมี เจมส์ โรดริเกวซ  เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่ง เป็นผู้จ่ายบอลให้ทั้งสองประตู
3 ทหารเสือของโคลอมเบียยังคงฉายแววเด่นอย่างต่อเนื่อง และทำผลงานได้ไม่มีที่ติในเกมที่ไล่ถล่ม โบลิเวีย ไปอย่างขาดลอย 5-0   ที่บารันกียาในเดือนมีนาคม
มาริโอ เยเปส กัปตันทีมและ หลุยส์ เปเรีย กลายเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญในเกมรับของทีมดังแห่งอเมริกาใต้ ซึ่งช่วยให้ เปเกอร์มัน พาทีมคว้าชัยในบ้านได้ 5 นัดติดต่อกัน โดยไม่เสียประตูเลยแม้แต่ประตูเดียว
ซึ่งชัยชนะนัดล่าสุดยังทำให้ โคลอมเบีย ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปอยู่ในรอบสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อย จากประตูโทนของ โรดิเกวซ ในเกมที่ เอกวาดอร์ ต้องเล่น 10 คนอยู่เกือบชั่วโมง หลัง กราเบรียล อาชิเลอร์ โดนใบแดงจากจังหวะที่ไปทำโปรเฟสชันนอลฟาวล์ใส่ กูเตียร์เรซ


ก่อนที่หลังจากนั้นในอีก 2 นัดต่อมา โคลอมเบียจะได้สิทธิ์ผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายอย่างเป็นทางการ หลัง เอกวาดอร์ เก็บ 3 คะแนนเหนือ อุรุกวัยไปได้ 1-0 ในขณะที่พวกเขาไล่ตามตีเสมอชิลีอย่างสนุกในเกมที่มีประตูเกิดขึ้นถึง 6 ประตู
จุดโทษของ อาร์ตูโร วิดัล และการเหมาคนเดียวสองประตูของอเล็กซิส ซานเชซ ดาวดังของบาร์เซโลนา ช่วยให้ชิลีบุกมานำไปก่อนถึง 0-3 ตั้งแต่ 29 นาทีแรก จากเกมรับที่โคลอมเบียภาคภูมิใจ
แต่จุดเปลี่ยนของเกมก็เกิดขึ้นเมื่อคาร์ลอส คาร์โมนา ได้รับใบเหลืองที่สองถูกไล่ออกจากสนามไป จากนั้นก็เป็นคราวของเข้าบ้านที่มายิง 3 ประตูรวดจากกูเตียร์เรซ และฟัลเกา ที่เหมา 2 จุดโทษให้ทีมตีเสมอได้สำเร็จ ก่อนที่คู่หูของโคลอมเบียจะจบรอบคัดเลือกด้วยการกระหน่ำไปคนละ 6 และ 9 ประตูตามลำดับ
การเล่นที่น่าประทับใจของโคลอมเบียแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ในเกมนัดสุดท้ายของพวกเขาที่พบกับ ปารากวัย แม้ ฮอร์เก โรฮาส จะยิงประตูให้เจ้าบ้านออกนำไปก่อน แต่ เยเปส ก็มายิง 2 ประตูให้ทีมพลิกเอาชนะไปได้ ในเกมที่ กวาริน โดนใบแดงไปตั้งแต่ 30 นาทีแรก
การเริ่มต้นแบบเดียวกันที่บราซิลจะทำให้พวกเขาหวนย้อนระลึกไปถึงความล้มเหลวในเวิลด์คัพรอบสุดท้ายครั้งก่อน ย้อนกลับไปในปี 1990 เรเน ฮิกิตา และ คาร์ลอส วันเดอร์รามา พาทีมทะลุผ่านเข้าไปถึงรอบ 16 ทีม ก่อนจะตกรอบด้วยน้ำมือของแคเมอรูน และนั่นก็เป็นเพียงครั้งเดียวที่พวกเขาสามารถผ่านเข้ามาเล่นในรอบน็อคเอาท์

บันทึกความความดีประจำวันที่ 29/พ.ค./57

ความดีในวันนี้ จะขอกล่าวมา ณ บัดนี้
1.เก็บที่นอน
2.ทำกับข้าวในพ่อพี่รับประทาน
3.ขับขี่รถแล้วสวมใส่หมวกกันน็อก
4.รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
5.ตั้งใจเรียน




Road To Brasil 2014
ฟุตบอลโลกปีนี้จัดหนักเลยทีเดียว
เทียมแหกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก